วิสัยทัศน์: มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาระดับโลก VISION: World Class University of Buddhism วันพฤหัสบดี ที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๕ บทความวิชาการ บทความวิจัย จำนวนบทความที่แสดง: จำนวนบทความทั้งหมด: 30 เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ 🍪 เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ นโยบายความเป็นส่วนตัว
พิจารณาจำนวนข้อมูลดิบทั้งหมดว่ามีมากหรือน้อยเพียงใด 2. หาค่าสูงสุดหรือต่ำสุดของข้อมูลดิบที่มีอยู่ 3. หาค่าพิสัยของข้อมูลนั้นจากสูตร พิสัย = ค่าสูงสุด - ค่าต่ำสุด 4. พิจารณาว่าจะแบ่งเป็นกี่ชั้น ( นิยม 5 - 15 ชั้น) 5. หาความกว้างของแต่ละอันตรภาคชั้น จากสูตร ความกว้างของอันตรภาคชั้น = พิสัย จำนวนชั้น นิยมปรับค่าให้เป็น 5 หรือ 10 6. ควรเลือกค่าที่น้อยที่สุด หรือค่าที่มากที่สุดของอันตรภาคชั้นให้เป็นค่าที่ สังเกตได้ง่าย ๆ ฮิสโตแกรม (Histogram) หรือแท่งความถี่ คือ การแจกแจงความถี่ข้อมูลโดย ใช้กราฟแท่ง เพื่อให้เกิดความเป็นรูปธรรมของข้อมูลมากยิ่งขึ้นและง่ายต่อการ วิเคราะห์ หรือตีความหมายข้อมูล 7. ค่ากลางของข้อมูล มีทั้งหมด 6 ชนิด 7. 1 ค่าเฉลี่ยเลขคณิตหรือตัวกลางเลขคณิต (arithmetic mean) 7. 2 มัธยฐาน (median) 7. 3 ฐานนิยม (mode) 7. 4 ตัวกลางเรขาคณิต (geometric mean) 7. 5 ตัวกลางฮาโมนิค (harmonic mean) 7. 6 ตัวกึ่งกลางพิสัย (mid-range) 8. ค่าเฉลี่ยเลขคณิตหรือตัวกลางเลขคณิต (arithmetic mean) หลักในการหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต 1. นำข้อมูลทั้งหมดมารวมกัน 2. นำผลรวมที่ได้จากข้อ 1 มาหารด้วยจำนวนข้อมูลทั้งหมด 3.
โดย 5 W 1H ประกอบด้วย 2. Who "จะเขียนให้ใครอ่าน" 2. 2. When "เวลาที่จะนาบทความลงเผยแพร่คือเมื่อใด" 2. 3. Why "จะนา เสนอเรื่องนี้ทาไม" 2. 4. How "จะนาเสนอเรื่องนี้อย่างไร" 3. ความหมายของบทความวิชาการ 3. บทความวิชาการ (academic article) เป็นข้อเขียนเชิงสาระที่ผู้เขียนตั้งใจหยิบยกประเด็นใด ประเด็นหนึ่ง หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในแวดวงวิชาการ วิชาชีพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หรือวิพากษ์ ทัศนะหรือแนวคิดเดิม และหรือนาเสนอหรือเผยแพร่แนวคิดใหม่ เพื่อมุ่งให้ผู้อ่าน เปลี่ยนหรือปรับเปลี่ยน แนวคิด ความเชื่อมาสู่แนวคิดของผู้เขียน บทความวิชาการเน้นการให้ความรู้เป็นสำคัญและต้องอาศัยข้อมูล ทางวิชาการ เอกสารอ้างอิง และเหตุผลที่พิสูจน์ได้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้อ่าน 4. ส่วนประกอบของการเขียนบทความวิชาการ 4. ส่วนที่ 1 ประกอบด้วย 4. ชื่อบทความ ใช้ภาษาที่เป็นทางการ ชื่อเรื่องชัดเจนตรงไปตรงมา และครอบคลุมประเด็นของเรื่อง ชื่อเจ้าของบทความ ต้องใช้ชื่อจริง ไม่ใช้นามแฝง และไม่ต้องใส่คำนำหน้านาม 4. ส่วนที่ 2 ประกอบด้วย 4. บทคัดย่อ (Abstract) บทคัดย่อในบทความวิชาการ เป็นการสรุปประเด็นเนื้อหาที่เป็นแก่นสํ าคัญ เน้นประเด็นสําคัญของงาน ที่ต้องการนําเสนอจริงๆ ควรเขียนให้สั้น กระชับ มีความยาวไม่เกิน 10 ถึง 15 บรรทัด โดยบทคัดย่อมักจะประกอบด้วยเนื้อหา สามส่วน คือ เกริ่นนำ สิ่งที่ทํำสรุปผลสําคัญที่ได้ ซึ่งอ่านแล้วต้องเห็นภาพรวมทั้งหมดของงาน คําสําคัญ (Keyword) เป็นศัพท์เฉพาะทางที่เห็นแล้วเข้าใจได้ทันทีว่างานชิ้นนี้เกี่ยวกับอะไร จํานวนไม่เกิน 5 -8 คำ 4.
บทความเชิงวิชาการ
ผลหารที่ได้ในข้อ 2 คือ ค่าเฉลี่ย 9. มัธยฐาน (median) คือ ค่ากลางของข้อมูลที่อยู่กึ่งกลางของข้อมูลทั้งหมดหลัง จากเรียงลำดับข้อมูลจากน้อยไปมากหรอจากมากไปน้อย ตัวอย่าง จงหาค่ามัธยฐานของข้อมูล 3, 7 19, 25, 12, 18, 10 วิธีทำ เรียงข้อมูลจากน้อยไปมากได้ 3, 7, 10, 12, 18, 19, 25 ข้อมูลมีทั้งหมด 7 ตัวเรียงข้อมูลแล้วตัวเลขที่อยู่ตรงกลางคือตัวเลขตำแหน่งที่ 4 ตัวเลขตำแหน่งที่ 4 คือ 12 เป็นมัธยฐาน 10. ฐานนิยม (mode) คือ ค่ากลางของข้อมูลที่มีความถี่สูงสุดในชุดข้อมูลนั้น ตัวอย่าง จงหาฐานนิยมของข้อมูลชุดนี้ 3, 2, 5, 3, 3, 3, 3, 3, 3, 3, 5 วิธีทำ ข้อมูลมี 2 จำนวน 1 ค่า มี 3 จำนวน 8 ค่า มี 5 จำนวน 2 ค่า ฐานนิยมของข้อมูลคือ 3
สืบค้นว่าเรื่องที่เราสนใจมีใครทำแล้วหรือยัง? เราก็จะค้นดูว่ามีบทความวิชาการเขียนเกี่ยวกับเรื่องเงาะป่าไหม? ซึ่งจะพบว่ามีเพียง 3 บทความ ซึ่งจะเป็นประเด็น เงาะป่าที่เป็นชาติพันธุ์ และ มีการกล่าวถึงเงาะป่าในฐานะบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 แสดงว่าเรื่องของเราสนใจนั้นพอจะเขียนได้ ต่อมาต้องมาค้นในส่วนของวิทยานิพนธ์และงานวิจัยว่ามีงานในประเด็นนี้ไหม พบว่าส่วนใหญ่จะเป็นการศึกษาเชิงวรรณคดีเป็นหลัก และเป็นแนวชาติพันธุ์แบบมานุษยวิทยา เมื่อทั้งสองแหล่งข้อมูลคือ บทความวิชาการกับงานวิจัย ไม่มีประเด็นที่ซ้ำกับเราก็ถือว่าทางเปิดเดินสะดวกแล้ว เราก็ลุกหน้าต่อไปเลย (จะรออะไร) 3. นำข้อมูลในบทความวิชาการกับงานวิจัยมาเป็นขั้นบันไดให้เราเดิน คือ บทความวิชาการกับงานวิจัยที่มีมาก่อน ถึงจะไม่ใช่ประเด็นเดียวกับที่ประเด็นที่เราจะเขียนก็ตาม แต่นั้นละคือสิ่งที่เลอค่าต่องานเขียนของเรามากค่ะ เราสามารถนำทรรศนะของเขามาใส่ในงานเขียนของเราได้ หรืออาจจะเสนอความเห็นของเราว่าไม่เห็นด้วยกับงานก่อนหน้าก็ย่อมได้ 4. สืบค้นจากข้อมูลแหล่งอื่น เช่น หนังสือวิชาการ ตำราเรียน หนังสือเบ็ดเตล็ด สื่อออนไลน์ต่างๆ เพื่อนำมาประกอบเป็นข้อมูลในการเขียน 5.